มะม่วงดิบ VS มะม่วงสุก

ช่วงนี้ มองไปทางไหนก็มีแต่มะม่วง หลาย ๆ คนคงอดไม่ได้ที่จะลิ้มลองผลไม้รสเปรี้ยวอมหวานนี้ แต่จะเลือกรับประทานมะม่วงดิบหรือมะม่วงสุกดี นอกจากความชอบแล้วประเด็นด้านสุขภาพก็อาจจะต้องคำนึงถึงเช่นกัน

มะม่วงดิบ ประมาณ 100 กรัม * ให้พลังงานประมาณ 40-50 แคลอรี ให้น้ำตาล 6 กรัม ไขมันประมาณ 0.3 กรัม และไฟเบอร์มากกว่า มีค่าดัชนีน้ำตาล (Glycemic index) เท่ากับ 51 ซึ่งค่าดัชนีน้ำตาลที่น้อยกว่า 55 จะถือว่ามีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ ซึ่งหมายความว่าไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงปรี๊ดในทันที ดังนั้น ผู้ที่เป็นเบาหวานหรือต้องการคุมระดับน้ำตาล หากต้องการทานมะม่วงควรเลือกทานมะม่วงดิบจะดีกว่า

มะม่วงดิบถือว่ามีไขมันต่ำ และหากพิจารณาลึกลงไปถึงประเภทของไขมันแล้ว มะม่วงดิบจัดว่าเป็นผลไม้ที่ให้ไขมันที่ดีต่อร่างกาย นอกจากนี้ ยังมีวิตามินซีสูงซึ่งมีส่วนช่วยในการสร้างคอลลาเจนและการทำงานของภูมิคุ้มกัน เป็นแหล่งของโพแทสเซียมและแมกนีเซียม มีไฟเบอร์สูงกว่า และมีเอนไซม์ที่ช่วยระบบย่อยอาหาร จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาสมดุลของลำไส้และการขับถ่าย ลดการเกิดภาวะท้องผูก

ในขณะที่มะม่วงสุกจะมีน้ำตาลมากกว่า ทั้งกลูโคส ฟรุกโตส และซูโครส ซึ่งทำให้มะม่วงมีรสชาติหวานอร่อย แต่ก็มีค่าดัชนีน้ำตาลสูงเช่นกัน โดยมีค่าดัชนีน้ำตาล (Glycemic index) ประมาณ 60 ซึ่งจัดว่ามีค่าดัชนีน้ำตาลสูง ในด้านของพลังงาน มะม่วงสุก 100 กรัม ให้พลังงานประมาณ 60-80 แคลอรี ให้น้ำตาล 12-14 กรัม ไขมัน 0.4 กรัม ดังนั้น ผู้ที่เป็นเบาหวาน ต้องคุมระดับน้ำตาล หรือต้องการคุมน้ำหนักตัว ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานมะม่วงสุก ส่วนผู้ที่ไม่ต้องกังวลเรื่องข้อจำกัดใด ๆ มะม่วงสุกอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอที่จะช่วยบำรุงสายตาและผิวหนัง และยังมีสารในกลุ่มโพลีฟีนอล ซึ่งเป็นสารไฟโตนิวเทรียนท์ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ มะม่วงสุกจึงตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการวิตามินและสารอาหารบำรุงร่างกาย โดยไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำหนักตัว

แต่ไม่ว่ามะม่วงดิบ มะม่วงสุก หรือผลไม้อื่น ๆ แม้จะอร่อยและให้คุณประโยชน์ แต่ก็ควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม

*ปริมาณสาร อาจแตกต่างกันตามสายพันธุ์ของมะม่วง